- มะเขือเทศ เนื่องจากมะเขือเทศมีไลโคปิน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระฤทธิ์แรง ช่วยป้องกันกระบวนการเสื่อมของเซลล์ต่อมลูกหมากได้ดี โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ถูกทำให้สุกที่จะทำให้ไลโคปินถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่า นอกจากนี้ผลไม้อื่นๆ เข่น แตงโม ฝรั่ง สับปะรด ก็ยังมีไลโคปินอยู่ด้วย
- ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑืจากถั่วเหลือง มีสารไอโซฟลาโวนซึ่งสามารถปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกายสู่สมดุล เนื่องจากไอโซฟลาโวนจะทำให้การกระตุ้นของสารเทสโตสเตอโรนที่ทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง จึงสามารถลดอัตราเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมากได้
- ชาเขียว มี EGCG (epigallocatechingallate) ซึ่งต้านการเติบโตของเซลล์มะเร็ง มีรายงานว่าสารสกัดจากชาเขียวเข้มข้นสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมากได้ หมายความว่าต้องกินสารสกัด EGCG เป็นเม็ด ไม่ใช่แค่ดื่มชาเขียวเท่านั้น
- กะหล่ำและพืชตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำม่วง บร็อกโคลี หัวผักกาด เป็นต้น เหล่านี้มีสารตั้งต้นของกลูต้าไธโอน สามารถกระตุ้นการขับสารพิษของตับ และต้านมะเร็งได้หลายตัวรวมทั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก
- กระเทียม มีกำมะถันสูง จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กระเทียมสามารถป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
- เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีสูงมากพอจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ดี
วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556
อาหารต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ต่อมลูกหมากที่ผิดปกติ ทำให้ต่อมลูกหมากโตขึ้น อาจพบได้ในชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะปัสสาวะบ่อยกว่าปกติและเริ่มปัสสาวะลำบากขึ้น ทำให้ต้องเบ่งมากขึ้น อาจปัสสาวะออกมาเป็นเลือดหรือมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ สาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสัตว์ แต่ในปัจจุบันพบว่ามีสารอาหารบางตัว ที่สามารถต้านมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ได้แก่
วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556
ลดภาวะแทรกซ้อนของหวัดโดยการใช้ผ้าปิดจมูก
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด จะต้องดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อไม่ไปแพร่กระจายเชื้อหรือแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ดังนั้นหากทราบแล้วว่าตนเองเกิดอาการเหมือนจะเป็นไข้ก็ควรพกผ้าปิดจมูก หรือสวมใช้ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อขณะ พูด ไอ จาม เพราะไข้หวัดสามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ ดังนั้นการใช้ผ้าปิดจมูกก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถป้องกันไข้หวัดได้ สำหรับอาการของผู้ป่วยที่พบคือ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม ปากแห้ง คอแห้ง แสบคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว และสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดธรรมชาติและเป็นไข้หวัดใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด
ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด
- น้ำตาไหล กลัวแสง หนังตาบวม เยื่อบุตาอักเสบ 2.
- ปวดหู หูน้ำหนวก 3.
- หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ 4.
- ปอดบวม
- หูน้ำหนวก 2.
- หลอดลมอักเสบ 3.
- ปอดบวม ปอดอักเสบ 4.
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 5.
- สมองอักเสบ
10 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูดไขมัน
ก่อนที่สาวๆ จะไปกำจัดไขมันส่วนเกินโดยการดูดไขมันนั้น สาวทราบข้อมูลและศึกษาก่อนทำหรือไม่ หรือศึกษามากน้อยแค่ไหน อยากเตือนสาวๆ อย่างเพิ่มรีบร้อนกันไป ควรทราบ 10 สิ่งที่สาวๆ ควรรู้เกี่ยวกับการดูดไขมัน ดังนี้
- การดูดไขมันไม่ใช่เป็นการลดน้ำหนัก และสามารถดูดได้เฉพาะจุด หรือเรียกง่ายๆ ว่าลดแค่บางจุด เช่น ต้นขา เอว สะโพก หน้าท้อง นั้นเอง
- การดูดไขมัน จะทำให้เซลล์ไขมันของคุณหายไป แต่ไขมันส่วนอื่นอาจจะเพิ่มมาแทน
- ไขมันจะไปเพิ่มที่อื่นแทน แน่นอนว่าไขมันจะไม่กลับเข้าไปสะสมอยู่ที่เดิมที่ถูกดูดออกมา
- ทราบหรือไม่ว่า ไขมันที่ดูดออกมานั้นสามารถนำไปเพิ่มส่วนอื่นได้ โดยการฉีดกลับเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่นๆ ตั้งแต่ริมฝีปาก จรดอวัยวะเพศ…!
- ผู้หญิงสามารถดูดไขมันได้ดีกว่าชาย เพราะไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายของเพศชายดูดได้ยากกว่าและต้องใช้เวลานานกว่าผู้หญิง
- การสลายไขมันด้วยวิธีทำสปา Cryolipolysis (Cool Sculpting) ซึ่งเป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น ก็สามารถทำได้
- การใช้เทคโนโลยีการดูดไขมัน ซึ่งเป็นการประยุกต์คลื่นเสียงความถี่สูงมาใช้ ด้วยการใช้สัญญาณเสียงส่งผ่านไปที่ปลายท่อยาว และทำให้เซลล์ไขมันแบบหนาแน่นเช่น ในส่วนหน้าอกและหลัง
- ดูดแล้วผลอยู่นานขึ้น ถ้าปฏิบัติตนถูกต้อง ระยะพักฟื้น มีการดูแลตัวเองใช้ผ้ายืดรัดกระชับรูปทรง และลดความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น เกิดลิ่มเลือดและเลือดคั่งได้ และควบคุมอาหาร
- อาจมีผลข้างเคียงขึ้นได้แพทย์ไม่มีความชำนาญและไม่มีประสบการณ์ เช่น การเกิดรอยไหม้ของไขมัน การอุดตันของลิ่มเลือดที่ปอด และอาการช็อคที่เกิดจากการทดแทนน้ำที่ไม่เหมาะสม
- ควรมีการตรวจสอบสถานบันการแพทย์ที่เราจะไปดูดไขมันว่ามีความน่าเชื่อมากน้อยแค่ไหน อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น Marella O’Reilly CEO ของ HPCSA (Health Professions Council of South Africa) องค์กรผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556
ประเภทของคอนแทคเลนส์
คอนแทคเลนส์จะถูกแบบออกตามการใช้งาน ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. รุ่นถาวร ( Conventional ) จะมีอายุการใช้งาน 1-2 ปี ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามปริมาณการอมน้ำและความหนา ได้แก่
1. Daily Wear เป็นคอนแทคเลนส์รุ่นที่ใส่ถอดทุกวัน สามารถใส่ได้นานถึง 12 ชั่วโมงต่อวันแต่ไม่
สามารถใส่นอนได้ เลนส์ขนิดนี้มีการอมน้ำน้อย 0-38%
2. รุ่นใช้แล้วทิ้ง ( Disposable ) จะมีอายุการใช้งานสั้น เช่นรายวันและรายเดือน
1.FLEXIBLE WEAR คอนแทคเลนส์นิ่ม ใส่สบายตาและสามารถใส่ต่อเนื่อง 1 – 2 วัน ต่อสัปดาห์
เลนส์ชนิดนี้มีการอมน้ำปานกลาง 39-59%
2. EXTENDED WEAR เนื้อเลนส์นิ่ม ใส่สบายตา แต่จะพับติดกันง่ายและใส่ยาก สามารถใส่ต่อเนื่องได้ 2 – 3 วัน ต่อสัปดาห์ คอนแทคเลนส์ชนิดนี้อมน้ำมากถึง 60% ขึ้นไป
Disposable มี 3 ชนิด ดังนี้ แบ่งตามอายุการใช้งาน
1.รายวัน ( ONE DAY / 2 DAY ) อายุการใช้งาน 1 –2 วัน
3. รายเดือน ( MONTHLY ) อายุการใช้งาน 30 วัน ( 1 เดือน )
1. รุ่นถาวร ( Conventional ) จะมีอายุการใช้งาน 1-2 ปี ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามปริมาณการอมน้ำและความหนา ได้แก่
1. Daily Wear เป็นคอนแทคเลนส์รุ่นที่ใส่ถอดทุกวัน สามารถใส่ได้นานถึง 12 ชั่วโมงต่อวันแต่ไม่
สามารถใส่นอนได้ เลนส์ขนิดนี้มีการอมน้ำน้อย 0-38%
2. รุ่นใช้แล้วทิ้ง ( Disposable ) จะมีอายุการใช้งานสั้น เช่นรายวันและรายเดือน
1.FLEXIBLE WEAR คอนแทคเลนส์นิ่ม ใส่สบายตาและสามารถใส่ต่อเนื่อง 1 – 2 วัน ต่อสัปดาห์
เลนส์ชนิดนี้มีการอมน้ำปานกลาง 39-59%
2. EXTENDED WEAR เนื้อเลนส์นิ่ม ใส่สบายตา แต่จะพับติดกันง่ายและใส่ยาก สามารถใส่ต่อเนื่องได้ 2 – 3 วัน ต่อสัปดาห์ คอนแทคเลนส์ชนิดนี้อมน้ำมากถึง 60% ขึ้นไป
Disposable มี 3 ชนิด ดังนี้ แบ่งตามอายุการใช้งาน
1.รายวัน ( ONE DAY / 2 DAY ) อายุการใช้งาน 1 –2 วัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการแพ้น้ำยา
- ไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดคอนแทคเลนส์
3. รายเดือน ( MONTHLY ) อายุการใช้งาน 30 วัน ( 1 เดือน )
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)